การบริหารจัดการคลังสินค้า (Inventory) ในโรงงานอุตสาหกรรม ไม่ได้จำกัดเพียงการนับจำนวนวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูป แต่หมายถึงการ มองเห็นการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบและงานระหว่างการผลิตแบบครบวงจร ซึ่งระบบ MES (Manufacturing Execution System) เข้ามาช่วยเติมเต็มจุดนี้ได้อย่างแม่นยำ เพราะ MES เชื่อมโยงตั้งแต่การรับวัตถุดิบ → การนำเข้าไลน์ผลิต → การติดตาม WIP → จนออกมาเป็นสินค้าสำเร็จรูป ทำให้ข้อมูลทุกขั้นตอนสามารถตรวจสอบ ย้อนกลับ และวิเคราะห์ได้ทันที
1. Material Management: การบริหารจัดการวัตถุดิบอย่างมีประสิทธิภาพ
1.1 ขอบเขตของการทำงาน
- ตรวจรับและลงทะเบียนวัตถุดิบตั้งแต่เข้าคลัง
- ตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้นก่อนนำเข้าไลน์ผลิต
- ควบคุมปริมาณคงเหลือ (Stock level) และอายุการใช้งาน (shelf life)
- จัดสรรวัตถุดิบไปยังไลน์ผลิตที่เหมาะสมตามแผนการผลิต
1.2 เทคโนโลยีที่ใช้
- Barcode & RFID: ช่วยให้ติดตามการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบแบบ Real-time
- IoT Sensor: วัดสภาพการจัดเก็บ เช่น อุณหภูมิ ความชื้น เพื่อรักษาคุณภาพวัตถุดิบ
- ระบบแจ้งเตือน (Alert system): เมื่อปริมาณวัตถุดิบใกล้หมด หรือมีการใช้ผิดพลาด
1.3 ประโยชน์ที่ได้รับ
- ลดการสูญเสียวัตถุดิบที่หมดอายุหรือใช้ผิด
- ลดเวลาค้นหาหรือเบิกจ่าย เพราะทุกอย่างถูก Track ไว้ในระบบ
- เพิ่มความแม่นยำของการวางแผนผลิต เพราะข้อมูลสต็อกถูกต้อง
1.4 การเชื่อมโยงกับระบบอื่น
MES มักถูกเชื่อมต่อกับ ERP (Enterprise Resource Planning) และ WMS (Warehouse Management System) เพื่อทำให้แผนการผลิตกับการจัดซื้อ/จัดเก็บเชื่อมโยงกัน เช่น หาก ERP สร้าง Work Order ใหม่ → MES จะดึงข้อมูลเพื่อจองวัตถุดิบที่ต้องใช้ทันที
2. WIP (Work-in-Process): ติดตามสถานะงานระหว่างกระบวนการผลิต
2.1 ความหมาย
WIP คือสินค้าหรือชิ้นงานที่ยังอยู่ “กึ่งสำเร็จรูป” เช่น พลาสติกที่ฉีดขึ้นรูปแล้ว แต่ยังไม่ผ่านการประกอบ หรือยางที่ผ่านการรีด แต่ยังไม่เป็นชิ้นส่วนยางรถยนต์
2.2 ความสำคัญของการติดตาม WIP
- ช่วยวิเคราะห์ จุดคอขวด (Bottleneck) ในสายการผลิต
- ลดการสะสมของงานที่ยังทำไม่เสร็จ ซึ่งเป็นการผูกต้นทุนโดยไม่สร้างมูลค่า
- เพิ่มความสามารถในการคาดการณ์ Lead Time ของการผลิต
2.3 การทำงานของ MES กับ WIP
- บันทึกสถานะของแต่ละชิ้นงานแบบ Real-time (เริ่มต้น → กำลังผลิต → เสร็จสิ้น)
- ใช้ Dashboard แสดงความคืบหน้าของทุก Order และ Line
- มีระบบแจ้งเตือนเมื่อ WIP สูงเกินกว่าที่กำหนด เช่น หากงานค้างอยู่ในเครื่องจักรนานผิดปกติ
- เชื่อมกับระบบคุณภาพ (Quality) เพื่อหยุดการผลิตอัตโนมัติหากพบความผิดพลาดในงาน
2.4 ตัวอย่างการใช้งานจริง
- โรงงานอิเล็กทรอนิกส์: ติดตาม WIP ของบอร์ดวงจร ว่าผ่านกระบวนการบัดกรี/ทดสอบแล้วหรือยัง
- โรงงานยานยนต์: ตรวจสอบ WIP ของชิ้นส่วน เช่น กันชน ประตู หรือสายไฟ ที่ยังอยู่ในขั้นประกอบ
- โรงงานอาหาร: วัด Lead Time ของการผสม → บรรจุ → ตรวจคุณภาพ เพื่อคุมคุณภาพและความสด
2.5 วิธีการคำนวณ WIP
WIP เริ่มต้น + ต้นทุนการผลิต – ต้นทุนสินค้าที่ผลิต = WIP สิ้นสุด
ทำให้ผู้จัดการโรงงานมองเห็นมูลค่าเงินสดที่จมอยู่ในงานที่ยังผลิตไม่เสร็จ
3. ข้อดีของการใช้ MES เพื่อจัดการ Material & WIP
ด้าน | ประโยชน์ |
---|---|
ความโปร่งใส | เห็นข้อมูลการเคลื่อนไหวของวัตถุดิบและงานทุกชิ้นแบบ Real-time |
ลดต้นทุน | ลด Stock ส่วนเกิน ลด WIP ค้าง ทำให้เงินสดไม่จมโดยไม่จำเป็น |
คุณภาพ | ป้องกันการใช้วัตถุดิบผิดประเภท, สินค้าผิด Lot |
การตัดสินใจ | ข้อมูลที่ถูกต้องทำให้วางแผนผลิตและวิเคราะห์ Bottleneck ได้แม่นยำ |
การตรวจสอบย้อนหลัง (Traceability) | ตรวจสอบได้ว่าสินค้าชิ้นนี้ใช้วัตถุดิบ Lot ไหน ผ่านเครื่องจักรใด เวลาใด |
การจัดการ Inventory ในระบบ MES ไม่ได้เป็นเพียงการ “นับสต็อก” แต่คือการควบคุมตั้งแต่ต้นน้ำ (วัตถุดิบ) จนถึงกลางน้ำ (WIP) และต่อเนื่องไปยังปลายน้ำ (สินค้าสำเร็จรูป) ทำให้โรงงาน
- ลดการสูญเสีย
- ใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
- ลด Lead Time
- และพร้อมปรับตัวสู่การผลิตแบบ Smart Factory

ศูนย์รวมข้อมูล MES
ทั้งหมดนี้รวมไว้ในที่เดียว!
ศูนย์รวมความรู้ MES สำหรับเจ้าของโรงงาน วิศวกร และผู้ประกอบการอุตสาหกรรมที่อยากยกระดับการผลิตด้วยระบบอัจฉริยะ